ลูกเตาเหวียน





“เตาเหวียน” เป็นสรรพนามที่ใช้เรียกพ่อผมเอง

ในตอนที่ผมเด็กๆ นั้นผมก็สงสัยอยู่เหมือนกันว่า ทำไมทุกๆ คนถึงเรียกพ่อเราว่า เตาเหวียน หัวพ่อเราก็ไม่มีไฟลุกออกมานี่หว่า หรือว่าพ่อเราเร่าร้อนจนขนาดใครๆ ขนานนามว่าเตา........................

แต่เมื่อเวลาผ่านไปเมื่อโตขึ้นถึงได้รู้ว่าแท้จริงแล้วคำว่า “เตาเหวียน” มาจากคำว่า ตาเหวียน ซึ่งพอเกรียกเร็วๆ เข้าจาก ตาเหวียน ก็เลยกลายเป็น เตาเหวียนไปซะงั้น (จริงแล้วอาจจะมีผมคนเดียวที่ได้ยินใครๆ เรียกพ่อว่า เตาเหวียนก็ได้)

ตอนที่พ่อผมใกล้จะเกษียณผมเองอายุประมาณ เจ็ดแปดขวบเท่านั้น ผมเป็นลูกที่เกิดโดยที่พ่อและแม่เข็มขัดสั้น (คาดไม่ถึง ไม่รู้ว่าผู้อ่านขำเปล่าแต่ผมขำ ฮ่าๆ) เพราะว่าพ่อเองก็อายุมากแล้ว แม่เองก็ทิ้งช่วงการมีลูกมานานหลายปี ก็เลยไม่มีใครคิดว่าจะมีเด็กหน้าตาดีอย่างผมเกิดขึ้นเป็นลูกของ “เตาเหวียน” อีก

“เตาเหวียน” เป็นทหารยศ จ่าสิบเอก เป็นจ่าแก่ๆ คนหนึ่งชื่อ จ.ส.อ. เหวียน ที่เช้าๆ ก็เดิน กระย๊อก กระแย๊ก ๆ ไปขึ้นรถเมล์จากราชบุรีเพื่อไปทำงานที่กรุงเทพฯ ค่ำๆ ก็เดินกระย๊อก กระแย๊ก กลับบ้าน บางวันก็หิ้วถุงของเล่นมาฝากลูก บางวันก็หิ้วกับข้าวมาฝากเมีย

“เตาเหวียน” เป็นคนกว้างขวางมีคนรู้จักตั้งแต่ เจ้ากรม จนถึง พลทหาร ใครมีปัญหามาหา “เตาเหวียน” ช่วยได้หมด น้องเมียตกงาน เพื่อนข้างบ้านไม่มีตังซื้อนม ลูกเจ้ากรมจะบวช ผู้หมวดจะย้ายบ้าน ผู้การจะทิ้งเมียน้อย เตาเหวียน ก็ตามไปสอยเอามา ..... เอ้ย.ไม่ช้ายยยยยยย อันหลังนี่ล้อเล่น ด้วยความที่เป็นคนใจดีชอบช่วยเหลือคนอื่น ทำให้ใครๆ ไม่ว่าจะเป็นญาติพี่น้อง เพื่อนร่วมงาน หรือเจ้านาย ต่างก็รัก “เตาเหวียน” กันทั้งนั้น

ในสมัยนั้นบ้านไหนมีโทรทัศน์ถือว่าเป็นบ้านที่มีฐานะพอสมควร ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะมีแต่บ้านนายทหารเท่านั้นที่มีโทรทัศน์ดู ........ แต่บ้านของ “เตาเหวียน” มีโทรทัศน์ให้ลูกๆ ดู

รถมอเตอร์ไซค์สมัยนั้นก็เป็นของที่ไม่ได้ซื้อหากันมาง่ายๆ ราคาไม่ใช่ถูกๆ แต่.... “ลูกเตาเหวียน” มีรถมอเตอร์ไซค์ไปรับไปส่งที่โรงเรียนทุกวัน

เด็กๆ ลูกจ่า ลูกนายสิบคนอื่นต้องรอให้เสื้อผ้าชุดนักเรียน เก่า ขาด เสียก่อนถึงจะได้เปลี่ยนชุดใหม่ แต่ “ลูกเตาเหวียน” มีเสื้อผ้า รองเท้านักเรียนใหม่ ใส่ทุกครั้งที่เปิดเทอม


“เตาเหวียน” ดูแลครอบครัวของเราเป็นอย่างดีแต่เสียดายที่พ่ออยู่กับเราน้อยไปหน่อย พ่อจากครอบครัวเราไปเมื่อตอนที่พ่ออายุหกสิบกว่า และในตอนนั้นผมอายุเพียงสิบสี่ปี พ่อไม่ได้รับราชการจนเกษียณอายุ แต่พ่อต้องลาออกก่อน เพราะเป็นคนที่สุขภาพไม่ค่อยดีนักมีโรคประจำตัวมากมาย ก่อนพ่อจะจากพวกเราไปพ่อเป็นอัมพาตอยู่หลายปี พ่อขยับเขยื้อนตัวไม่ได้ พ่อต้องนอนนิ่งๆ บนเตียงขยับเขยื้อนไปไหนไม่ได้ ภาพพ่อที่นอนร้องให้ทุกครั้งที่มีใครพูดอะไรให้สะเทือนใจ เรียกน้ำตาจากผมได้ทุกครั้งที่นึกถึง

เมื่อตอนที่ผมอายุประมาณ 6 ขวบ พ่อพาผมไปอยู่โรงเรียนประจำ ซึ่งเป็นโรงเรียนสำหรับเด็กพิการ เพื่อให้ผมหัดใช้อุปกรณ์ช่วยสำหรับคนพิการ พ่อมีความหวังว่าที่นั่นจะสามารถทำให้ผมช่วยตัวเองได้มากขึ้น

พ่อจะไปรับผมมาบ้านบ้างแต่ก็ไม่บ่อย ช่วงแรกๆ พ่อกับแม่มักจะไปเยี่ยมผมที่โรงเรียนบ่อยๆ แต่ทุกครั้งที่พ่อกับแม่จะกลับบ้านผมมักจะร้องตามกลับบ้าน พ่อกับแม่ใจอ่อนพากลับมาด้วยก็หลายครั้ง ทำให้ช่วงหลังๆ พ่อใช้วิธีซื้อของฝากผู้ดูแลไปให้ และก็แอบดูผมอยู่ห่างๆ มีอยู่ครั้งหนึ่งโรงเรียนพาพวกเรามาดูวงดนตรีสุนทราภรณ์ ณ สถานที่แห่งหนึ่งซึ่งผมจำไม่ได้ แต่จำได้ว่าพ่อก็ตามผมมา พ่อแอบดูอยู่ที่ประตูทางออก ทันทีที่สายตาผมหันไปเจอกับพ่อ ผมก็ร้องให้ ชักดิ้นชักงอ เพื่อจะตามพ่อกลับบ้านจนคนอื่นไม่เป็นอันดูดนตรี จนในที่สุด “เตาเหวียน” ก็พาผมขี่คอกลับบ้าน

ช่วงเวลาที่ผมกลับมาอยู่บ้านและต้องกลับไปที่โรงเรียนเป็นช่วงเวลาที่สะเทือนใจสำหรับผู้ที่พบเห็น ในสมองผมตอนนั้นคิดว่าทำไมพ่อไม่รัก ทำไมแม่ไม่อยากให้เราอยู่ด้วย ทำไมไม่ให้ผมอยู่บ้าน ผมอยากอยู่ที่บ้าน อยากอยู่กับพ่อ อยากอยู่กับแม่ .........

พ่อกับแม่จะไล่จับผม ผมก็ร้องให้คลานหนีเข้าใต้โต๊ะบ้าง ใต้ตู้บ้าง คลานเข้าไปเกาะขาโต๊ะไว้แน่นไม่ยอมปล่อย พ่อกับแม่ก็คลานตามเข้าไปดึงตัวผมออกมา คนข้างบ้านก็มาช่วยกันจับบ้าง ปลอบบ้าง ปลอบลูกบ้าง ปลอบแม่บ้าง ปลอบพ่อบ้าง เพราะทั้งคนไล่จับและคนถูกไล่จับน้ำตานองหน้าด้วยกันทั้งนั้น



ผมไม่รู้ว่าในปัจจุบันนี้ จะมีมนุษย์สักคนบนโลกนี้
จดจำจ่าแก่ๆ คนหนึ่งที่ชื่อ “เตาเหวียน” หรือไม่

แต่ผมก็ดีใจ ที่อย่างน้อยที่สุดในวันนี้
ผมทำให้คุณ...ที่อ่านมาจนถึงบรรทัดนี้ได้รับรู้ว่า
บนโลกนี้เคยมีผู้ชายคนหนึ่งชื่อ "ตาเหวียน"

ที่ทำหน้าที่พ่อ หน้าที่สามี ไอ้อย่างดีที่สุด
ที่ผู้ชายคนหนึ่งพึงจะทำได้





Why not oh-mygod

21:54 เขียนโดย เวชยันต์ 2 ความคิดเห็น

เมื่อประมาณปี 2539 อินเตอร์เน็ตไม่ได้แพร่หลายเหมือนในตอนนี้ ผู้ใช้งานอินเตอร์เน็ตมีเพียงกลุ่มเล็กๆ เท่านั้น ด้วยเหตุผลที่ตอนนั้นค่าใช้จ่ายในการเล่นอินเตอร์เน็ตค่อนข้างแพงมาก ผู้ให้บริการตามต่างจังหวัดก็ไม่มี ทำให้ผู้ที่อยู่ต่างจังหวัดที่ต้องการใช้อินเตอร์เน็ตต้องต่อโทรศัพท์ทางไกลมาเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตที่กรุงเทพฯ เสียทั้งค่าโทรทางไกล เสียทั้งค่าอินเตอร์เน็ต

ผมเองในตอนนั้นเป็นมือปืนรับจ้าง(ในวงการคอมพิวเตอร์มือปืนรับจ้างหมายถึงโปรแกรมเมอร์อิสระที่ไปรับงานที่โน่นบ้างที่นี่บ้าง) ได้มีโอกาสเข้ามารับงานเขียนโปรแกรมที่บริษัทแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ (ตอนนั้นอยู่ที่ราชบุรี) และได้มีโอกาสได้รู้จักกับอินเตอร์เน็ตก็ที่นี่เอง หลังจากที่ได้รู้จักได้ลองเล่นกับมันทำให้รู้สึกติดใจ พองานเสร็จกลับไปราชบุรีก็เลยหิ้วโมเด็มใหม่เอี่ยมกลับไปที่ราชบุรีด้วย ทำให้ชีวิตของผมผูกพันกับอินเตอร์เน็ตตั้งแต่นั้นมา

ผมเชื่อว่าผู้ชายส่วนใหญ่ที่เล่นอินเตอร์เน็ตมักจะเริ่มต้นเหมือนผม ในตอนนั้นที่ผมเริ่มเล่นอินเตอร์เน็ตสองอย่างที่เป็นของโปรดในอินเตอร์เน็ตของผมก็คือ รูปโป๊ กับ Chat โอ๊ววว พระเจ้าย๊อช มันจ๊อดมาก ผมเกิดมาเพื่อสิ่งนี้ โอ๊วววว ซาร่า โอ๊วววววววววววว .....................

มาถึงตอนนี้ลองย้อนกลับไปมองตัวเองแล้ว แหมมม ดีซะจริงๆ เสียค่าชั่วโมงเน็ตกับค่าโทรทางไกลเป็นร้อยๆ ต่อชั่วโมงเพื่อโหลดรูปโป๊กับ Chat ทำอยู่สองอย่าง โค-ตะ-ระ มีสาระเลยกรู

ผมไม่รู้ว่าในสมัยนั้นมีโปรแกรมสำหรับพูดคุยกันอย่าง ICQ หรือ Msn หรือยังเพราะสมัยนั้นโปรแกรมพวกนี้ไม่ได้รับความนิยมมากนัก ส่วนใหญ่จะ Chat กันตามเวป สำหรับผมเองก็เป็นขาใหญ่ประจำห้องสนทนาที่ 2 แห่งเวป pantip.com ในตอนนั้น.... ไม่ใช่ย่อยเหมือนกัน ฮ่าๆ สาวๆ รุมคุยกับผมจนหนุ่มๆ หลายคนหมั่นใส้อยู่บ่อยๆ ด้วยความที่ขี้โม้เก่ง เอ้ย...คุยเก่ง ทำให้ในตอนนั้นผมค่อนข้าง ป๊อบปูล่าอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว

การ Chat ในเวปมีข้อเสียอยู่อย่างหนึ่งคือติดตามผลงานไม่ค่อยได้ ต้องรอให้ผู้ที่คุยกับเราเข้ามาในเวปเดียวกัน และใช้ชื่อเดิมถึงจะจำกันได้ สานต่อความสัมพันธ์กันได้ ผมก็เลยแก้ปัญหานี้ด้วยกัน สมัครอีเมล์ซะเลย เพราะจะได้ใช้ส่งจดหมายโต้ตอบ ติดตามผลงานได้ ฮ่าๆ

ในตอนนั้นผมพิมพ์ Email Address ไว้ในนามบัตรของผมด้วย เวลาแจกใครก็มักจะมีคนถามว่า เล่นอีเมล์ด้วยเหรอ เล่นอินเตอร์เน็ตด้วยเหรอ เท่ห์ซะไม่มี

ในตอนสมัครอีเมล์นั้นจะให้ผมสมัครเป็นชื่อเหมือนใครๆ ก็ธรรมดาเกินไป ใครๆเขาก็ทำกัน อย่างผมนี่ต้องไม่ธรรมดา พอเอ่ยถึงอีเมล์ผมปุ๊บ หน้าผมจะต้องลอยมาในมโนสำนึกของผู้ที่ได้ยินทันที คิดไปคิดมา คำไหนดีว๊ะ ChingMaGed@hotmail.com (ชิงหมาเกิด@ฮอทเมล.คอม) อืม .... ดีเหมือนกันใครได้ยินก็จำได้ แต่........... จะดีเหรอ.... เวลาใครนึกถึงหน้าเราก็ ชิงหมาเกิดๆๆ ...... ไม่ดีแน่ งั้นตั้งเป็นอะไรดี ........... ต้องสั้นกระชับ ....... ต้องจำง่าย ..... ต้องสะดุดหู ..... และที่สำคัญต้องดูดีมีชาติตระกูล อยู่ๆ ก็เหมือนฟ้าประธานลงมาในสมอง แว๊บบบบบบบบบบบ โอ๊วววว ม๋ายยย ก๊อดดดดด ………… โป๊ะเช๊ .. ได้แล้ว โอ๊วววม๋ายยก๊อดแอดฮอทเมล์ด๊อทคอม ...... อู๊ยยยย เท่ห์ซะไม่มี ....... ว่าแล้วสมัครซะเลย หลังจากสมัครเสร็จก็แจกอีเมล์ให้กับสาวๆ สาวกทั้งหลาย หลังจากแจกไปก็มีแต่คนถามถึงอีเมล์ว่าเอามาจากไหน ทำไมถึงเป็น Ho_mygod@hotmail.com ผมก็ตอบไปด้วยความมั่นใจว่า มันก็จะมาจากไหนหล่ะ ก็มาจาก โอ๊วววว ม๋ายยย ก๊อดดดดด ไงหล่ะ ถามได้ ......โง่นะเนี่ย โง่จริงๆ ไม่เคยเรียนภาษาอังกฤษมารึ (อันหลังนี่คิดในใจ) แต่คำตอบที่ได้กลับมาทำเอาหน้าชาไปเหมือนกัน
“พี่จุ้ย โอ๊วววววม๋ายก๊อดดดด น่ะมันสะกดอย่างนี้ไม่ใช่เหรอ Oh my god ไม่ใช่ ho”
อุ๊แม่เจ้า............... นี่กรูทำอะไรลงไป นี่กรูทำอะไรไปเนี่ย.... เหมือนมีใครเอาค้อนปอนด์มาทุบหัว สติสัมปชัญญะดับวูบไปชั่วครู มือชา เท้าชา ท้องใส้ปั่นป่วน ......โง่นะเนี่ย โง่จริงๆ ไม่เคยเรียนภาษาอังกฤษมารึ ประโยคที่เพิ่งด่าเขาไปเมื่อกี้มันตามกลับมาหลอกหลอน อายเขามั๊ย อายเขามั๊ย เรียนภาษาอังกฤษจนเลียตูดหมาโตไม่ถึงแล้ว เอ้ย โตจนหมาเลียตูดไม่ถึงแล้วดันสะกดผิดซะงั้น แต่ด้วยความที่เป็นคนที่มีไหวพริบดี แก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าเก่ง ผนวกกับหน้าตาดีอีกต่างหาก จึงตอบกลับไปว่า
“พี่รู้แล้ว แต่พี่ว่า Oh my god น่ะมันธรรมดา คนธรรมดาเขาใช้กัน อย่างพี่มันต้อง สเปเชี่ยล สะกดอย่างนี้แหละคนเขาจะได้จำได้ ว่าถ้าไปเห็นที่ไหน Ho my god เป็นของไอ้จุ้ยแน่นอน”
เรื่องมันก็เป็นด้วยประการฉะนี้ เองงงงงงงง
จบซะงั้น ฮ่าๆ

Picture by chalkdog from http://flickr.com